The Evolution of Nike Air Max pt.2

The Evolution of Nike Air Max pt.2

 

 

มาว่ากันต่อด้วยเรื่องวิวัฒนาการของรองเท้า Nike Air Max กัน จากวันแรกที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1987 จนถึงวันนี้ทาง Nike ได้ทำการพัฒนารองเท้าในซีรี่ย์นี้ออกมาเรื่อยๆทุกปี เรามาลองติดตามดูความเปลี่ยนแปลงกัน

หลังจากที่ Nike Air Max I ได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ หลังจากนั้น 2 ปี ทาง Nike ได้ออกรองเท้า Nike Air Max II ในสมัยนั้นหรือปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Nike Air Max Light ออกมาซึ่งหน้าตารองเท้านั้นจะใช้พื้นฐานจากรองเท้า Nike Air Max I แต่มีการปรับปรุงในส่วนของวัสดุที่ใช้บริเวณหน้าเท้าจาก Polyurethane เป็น Phylon(วัสดุของทาง Nike ที่มีน้ำหนักเบากว่า) เพื่อให้ตัวรองเท้ามีน้ำหนักเบากว่าเดิม แม้ว่ารองเท้า Nike Air Max Light นั้นจะไม่ถือว่าได้รับความนิยมมากเท่ากับ Nike Air Max I แต่ก็ถือว่าเป็นรองเท้าที่เป็นที่รู้จักในวงการรองเท้ามากพอสมควร และทาง Nike ก็ยังมีการผลิตออกมาจำหน่ายจนถึงปัจจุบัน

Nike Air Max Light

 

เมื่อรองเท้า Nike Air Max Light ไม่ประสบความสำเร็จมากอย่างที่คาดไว้  ทาง Tinker Hatfield จึงได้ทำการออกแบบ Nike Air Max ใหม่อีกครั้ง ในปี 1990 โดยเปลี่ยนรูปร่างหน้าตารองเท้าต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และในที่สุดรองเท้า Nike Air Max 90 ก็กลายเป็นหนึ่งในรองเท้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของทาง Nike จนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้าที่ทุกคนจะรู้จักรองเท้าคู่นี้ในชื่อ Nike Air Max 90 นั้น แรกเริ่มทาง Nike เคยคิดที่จะเรียกรองเท้าคู่นี้ว่า Nike Air Max III มาก่อน  แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเรียกมันว่า Nike Air Max 90 ตามเลขที่ปีที่ออกวางขาย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรองเท้าคู่นี้นั้นไล่มาตั้งแต่ การมี Air Sole Unit ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าของ Nike Air Max I เพื่อให้สามารถช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นของรองเท้าคู่นี้อีกอย่างก็คือ มีน้ำหนักเบา และมีความสามารถในการระบายอากาศได้เป็นอย่างดี

สำหรับสีแรกเริ่มของรองเท้าคู่นี้นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวส่งให้รองเท้าคู่นี้ได้รับความนิยมในวงกว้าง นั่นคือสีที่เรียกว่า “Infrared”ในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ Nike Air Max 90  ออกวางจำหน่ายนั้นทาง Nike ใช้สีที่เรียกว่า "Hyvent Orange" ซึ่งเป็นสีส้มแสดเลย

Nike Air Max 90 "Hyvent Orange" ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1990

 

กว่าจะถึงช่วงเวลาที่สามารถเรียกรองเท้าคู่นี้ด้วยชื่อ Infrared ได้ก็ต้องรอถึงปี 2003 ที่ทาง Nike ตัดสินใจปรับเปลี่ยนคู่สีของรองเท้าคู่นี้ โดยลดความเข้มของสีส้มลง เติมเฉดสีชมพูเล็กน้อยเข้าไปผสม ทำให้คู่สีที่ออกมาเป็นสีส้มอมชมพู หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า Infrared และกลายเป็นคู่สีหลักที่ทาง Nike ใช้กับรองเท้าคู่นี้มาจนถึงปัจจุบัน

 

Nike Air Max 90 “Infrared”

 

จากการเริ่มต้นทศวรรษ 90 อย่างยอดเยี่ยม ด้วย Air Max 90 แล้ว ต้องถือว่าในช่วง 10 ปีต่อมานั้นทาง Nike ได้ออก Nike Air Max รุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆแทบจะทุกปีเลยทีเดียว แม้บางปีจะไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็มีรองเท้า Air Max หลายรุ่นที่ได้รับความนิยมมากๆ เช่น Nike Air Max 180 ,Nike Air Max 95 และ Nike Air Max 97

 

สำหรับ Nike Air Max 180 ถือว่าเป็นรองเท้า Nike Air Max ที่ Superstar นักบาสเก็ตบอลในยุคนั้นอย่าง Michael Jordan เคยส่วมใส่ช่วงที่เข้าร่วม Olympic Game 1992 ที่ Barcelona เพื่อเป็นตัวแทนของ USA (ถือว่าเป็น Dream Team ในตำนานเลยทีเดียว) รองเท้าคู่นั้นมีชื่อเรียกกันว่า Nike Air Max 180 “Concord” เป็นหนึ่งในคู่สีคลาสสิคเลย

Michael Jordan กับรองเท้า Nike Air Max 180 “Concord”

 

ความแตกต่างของ Nike Air Max 180 กับรองเท้า Nike Air Max รุ่นก่อนหน้านั้นก็คือ รองเท้าคู่นี้นั้นมีพื้นที่ในส่วนที่เป็นพื้น Air Unit มากกว่า Nike Air Max รุ่นก่อนๆ ถึง 50% และส่วนของพื้นรองเท้านั้นจะใสมองเห็น Air Unit ด้านในได้ยาวตลอดแนว 180 องศา จึงเป็นที่มาของตัวเลข “180” ของชื่อรองเท้าคู่นี้นั่นเอง

 

Nike Air Max 180

 

รองเท้า Nike Air Max 95 ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1995  นั้นถือว่าเป็นรองเท้าที่เริ่มมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างออกจาก Nike Air Max รุ่นก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่ารองเท้าคู่นี้ไม่ได้ออกแบบโดย Tinker Hatfield เหมือนรุ่นก่อนๆ แต่ออกแบบโดยดีไซเนอร์รองเท้าอีกคน คือ  Sergio Lozano โดยการออกแบบรองเท้าคู่นี้นั้นเค้าได้ทำการอิงต้นแบบตามโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นแนวกระดูกหรือกล้ามเนื้อ ในส่วนของพื้นรองเท้าก็มีการใช้ Air Unit ใบริเวณของเท้าส่วนหน้าด้วย รองเท้ารุ่นนี้นั้นถือว่าเป็น Nike Air Max อีกคู่ที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ จนถึงปัจจุบันรองเท้า Nike Air Max 95 ออกวางจำหน่ายโดยเปลี่ยนวัสดุ และคู่สีมามากกว่า 150 แบบแล้ว แต่ถ้าจะพูดถึงสีดั้งเดิมที่คนมักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงรองเท้าคู่นี้ก็ คือ สี “Neon” ที่เป็นสีเขียวสะท้อนแสง ตัดกับสีดำ และขาวนั้นเอง ซึ่งคู่สีนี้นั้นก็ได้รับความนิยมมากจนทาง Nike ได้นำไปใช้กับรองเท้าในรุ่นอื่นๆอีกมากมาย
 

Nike Air Max 95 “Neon”
 

เมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี 1997 รองเท้าที่หน้าตาทันสมัยมากๆเมื่อเทียบกับรองเท้าในช่วงเวลานั้นอย่าง Nike Air Max 97 ก็ถือกำเนิดขึ้น  หน้าตาของมันออกแนวรองเท้ายุคอวกาศตามความนิยมในช่วงเวลานั้น การออกแบบรองเท้าคู่นี้นั้นได้แรงบัลดาลใจมาจาก Bullet Train หรือรถไฟความเร็วสูงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นรถไฟที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย จึงสะท้อนออกมาทั้งในส่วนของรูปร่างหน้าตาที่เรียวเหมือนหัวรถไฟ และใช้สีเงิน Metallic บนตัวรองเท้า ความพิเศษของรองเท้าคู่นี้คือมีการเพิ่มในส่วนของ Air Unit ให้ยาวตลอดแนวพื้นรองเท้า เพื่อรองรับแรงกระแทกอย่างเต็มที่

 

Bullet Train ของประเทศญี่ปุ่น

 

Nike Air max 97
 

จนถึงปัจจุบัน Nike ก็ยังออกวางจำหน่ายรองเท้า Air Max อยู่เรื่อยๆทุกปี โดยยังคงตั้งชื่อรุ่นตามปีที่ออกวางจำหน่ายอยู่ เช่น เมื่อปี 2014 นี้ก็มีรองเท้า Nike Air Max 2014 ออกวางจำหน่าย โดยในช่วงหลังนี้ทาง Nike ก็เลือกที่จะพัฒนารองเท้า Air Max โดยการใส่เทคโนโลยีใหม่ๆของ Nike ลงไปไม่ว่าจะเป็นในส่วนของวัสดุ เช่น Hyperfuse เพื่อลดน้ำหนักของรองเท้า อีกทั้งยังมีความทนทาน และระบายอากาศได้ดีอีกด้วย ในส่วนของพื้นรองเท้าในช่วงหลังมานี้ก็ยึดตามแนวทางของ Nike Air Max 360 ที่มีการใช้ Air Unit ตลอดแนวพื้นรองเท้าเลย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Nike+ ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่สามารถเชื่อมต่อรองเท้ากับอุปกรณ์ต่างๆเพื่อวัดระยะทาง และแคลอรีที่ร่างการเผาผลาญได้อีกด้วย

 

Nike Air Max 2014

นอกเหนือไปจากรุ่นหลักๆของ Nike Air Max ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีการแยกย่อยลงไปโดยการนำรุ่นหลักแต่ละรุ่นไปผสมผสาน (Hybrid) กับวัสดุ หรือแม้แต่รองเท้ารุ่นอื่นๆ เพื่อให้เกิดเป็นรองเท้ารุ่นใหม่อีกมากมายหลายรุ่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น Nike Air Max 90 “Huperfuse” ที่มีการใช้วัสดุ Hyperfuse มาใช้เป็นวัสดุหลักของรองเท้าคู่นี้เพื่อลดน้ำหนัก และลดรอยต่อของตัวรองเท้า

 

Nike Air Max 90 “Hyperfuse”

Nike Air Max Flyknit ก็เป็นรองเท้าอีกคู่ที่มีการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีพื้น Air Sole Unit เข้ากับวัสดุใหม่ของ Nike ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่าง Flyknit ที่ใช้การเทคนิคการถักทอเส้นใยเพื่อให้ตัวรองเท้าสามารถแนบสนิทไปกับเท้าของผู้สวมใส่ เหมือนกับวิ่งด้วยเท้าเปล่า

Nike Air Max Flyknit

 

จากนี้ต่อไปเชื่อว่าทาง Nike ก็จะยังคงจะพัฒนารองเท้า Nike Air Max ต่อไปเรื่อยๆทั้งในด้านเทคโนโลยี หรือวัสดุที่ใช้เพื่อให้ได้รองเท้า Air Max รุ่นใหม่ๆที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้สวมใส่ ควบคู่ไปกับการดีไซน์รองเท้า Nike Air Max โมเดลเดิมๆให้มีความสวยงามแตกต่างจากที่เคยทำมาเพื่อกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรองเท้า Nike Air Max รุ่นคลาสสิคทั้งหลายต่อไป

Credit : www.sweetsoles.tumblr.com ,www.Sneakernews.com , www.coolhunting.com  ,www.kicksonfire.com

 

 

 

 

 

 

Share:

WATCHA GONNA ดู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

Save